ปัญหาสิวหัวช้างว่าใหญ่และแก้ยากแล้ว ปัญหารอยสิว จุดด่างดำ และหลุมสิวต่างหากที่แก้ไขได้ยากยิ่งกว่า หลายคนคงเคยประสบกับปัญหาหลุมสิวที่แก้อย่างไร ก็แก้ไม่ได้เสียที เสียเงินเสียทองไปก็มาก แต่ปัญหาก็ยังค้างคาอยู่ แต่ถ้าลองได้อ่านบทความนี้ ที่จะเผยรายละเอียดของปัญหาหลุมสิว ตั้งแต่สาเหตุ ความรุนแรง การป้องกัน และการแก้ไข รับรองว่าคุณจะมองเห็นทางออกของปัญหาหลุมสิว และเห็นวิธีรักษาหลุมสิวแน่นอน : วิธีรักษาสิวอุดตัน
หลุมสิว คืออะไร
ปัญหาหลุมสิว (pitted acne scars) เป็นหนึ่งในปัญหาบนผิวหน้าที่มีความรุนแรง เป็นปัญหารอยแผลเป็นที่ลึกถึงระดับชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดความไม่เรียบเนียนบนผิวหน้า ส่งผลให้แต่งหน้าได้ไม่เรียบเนียน ทาแป้งหรือรองพื้นไม่ติดผิว รวมถึงส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในตนเอง ที่เป็นปัญหาที่ลึกลงในระดับของจิตใจ
หลุมสิวเกิดจากอะไร
หลุมสิวเกิดจากอะไร สำหรับสาเหตุของปัญหาหลุมสิวนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากสิวที่มักจะสร้างรอยแผลเป็นเอาไว้หลังรอยสิวยุบไป และปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสิวที่เป็นสาเหตุนั้นเป็นสิวอักเสบ โดยเฉพาะสิวหัวช้าง ซึ่งสิวอักเสบเกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหน้า แต่หากแบคทีเรียชนิดนี้มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดสิวอักเสบตามมา
การอักเสบของหัวสิว อาจกินลึกไปจนถึงชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ในสุด ซึ่งส่งผลทำให้เส้นใยคอลลาเจน (collagen) อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนังถูกทำลาย แต่แล้วเมื่อการอักเสบลดลง สิวหายไป แต่การสร้างคอลลาเจนมาทดแทนกลับน้อยกว่าปกติ มีการสร้างผิวหนังใหม่ได้ช้า หรือบางครั้งผิวหนังก็ถูกสร้างใหม่ได้เร็วเกินไป ทำให้เกิดรอยพังพืด รอยนูน และหลุมสิว ซึ่งจัดว่าเป็นปัญหาแผลเป็นที่รักษาได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง
นอกจากนี้ การบีบและแกะสิวก็เป็นจัดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดหลุมสิว เนื่องจากการบีบสิวจะทำให้เกิดภาวะอักเสบของผิวหนังมากขึ้น ทำให้เกิดรอยฟกช้ำและรอยแผลขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลทำให้รอยสิวและหลุมสิวมีขนาดใหญ่และรุนแรงมากขึ้น
ชนิดและความรุนแรงของหลุมสิว
ชนิดของหลุมสิว สามารถแบ่งได้ตามความรุนแรง ซึ่งการแบ่งระดับของหลุมสิว จะทำให้แพทย์สามารถวางแผลการรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผล สามารถแยกระดับความรุนแรงได้ดังต่อไปนี้
ระดับรุนแรงที่สุด (ice pick scar)
หลุมสิวลักษณะนี้ จะมีลักษณะเป็นหลุมลึก และมีปากหลุมแคบ โดยมักจะมีความกว้างไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ด้วยความที่เป็นหลุมลึก เนื้อเยื่อใต้ผิวถูกทำลายมาก จึงทำให้การรักษาหลุมสิวให้หายเป็นไปได้ยาก รวมถึงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะฟื้นฟูให้รอยลึกดูตื้นขึ้น
ระดับรุนแรงปานกลาง (box scar)
ลักษณะของหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลาง มักจะมีลักษณะเป็นบ่อ มีขอบเขตชัดเจน มักจะมีความกว้างมากกว่า 1 มิลลิเมตร ไปจนถึงกว้าง 4 มิลลิเมตร โดยที่ความกว้างที่ขอบหลุมและก้นหลุมจะมีขนาดเท่ากัน ส่วนความลึกของหลุม อาจลึกได้ตั้งแต่ 0.1-0.5 มิลลิเมตร ซึ่งยังลึกไม่ถึงชั้นรูขุมขน ทำให้การใช้ยาทาภายนอกร่วมกับการรักษาหลุมสิวด้วยทรีตเมนต์ ก็เพียงพอที่จะทำให้รอยหลุมสิวหายได้ แต่ก็อาจจะทิ้งรอยด่างดำเหลือไว้บ้าง
ระดับรุนแรงน้อย (rolling scar)
ลักษณะหลุมสิวแบบ rolling scar มักจะเป็นหลุมสิวที่มีแอ่งเว้า มีปากหลุมกว้าง อาจกว้างได้มากกว่า 4-5 มิลลิเมตร โดยร่องหลุมจะกินพื้นที่แค่ชั้นผิวตื้น ๆ ไม่ได้กินเนื้อผิวลึกมากกว่าหลุมสิวที่มีความรุนแรงมากกว่า โดยมักจะเกิดขึ้นจากการบีบสิวที่อยู่ในระดับไม่ลึก ทำให้รักษาได้ง่าย ซึ่งยาทาภายนอกที่มีคุณสมบัติในการเติมเต็มเนื้อผิว ก็สามารถรักษาหลุมสิวลักษณะนี้ได้แล้ว
วิธีป้องกันปัญหาหลุมสิว
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวขึ้นบนใบหน้าที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดสิว ซึ่งอาจฟังดูง่ายแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะปัญหาสิวอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งปัจจัยที่เราควบคุมได้ เช่น ความสะอาดของผิวหน้า การเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ส่วนปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้นั้น ก็มีได้ตั้งแต่เรื่องของฮอร์โมน ไปจนถึงพันธุกรรม
แต่หากเกิดสิวขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูแลอย่างถูกวิธี โดยป้องกันไม่ให้สิวอุดตันต่าง ๆ ทั้งสิวหัวดำ สิวหัวขาว เกิดการอักเสบ กลายเป็นสิวอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหลุมสิว พร้อมกันนี้ เมื่อเป็นสิวแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุด คือ การบีบและการแกะสิว เพราะจะให้ผิวหนังบริเวณนั้นเสียหาย เกิดการติดเชื้อ ทำให้ชั้นผิวหนังถูกทำลายลึกขึ้น รวมถึงติดเชื้อแบคทีเรีย กลายเป็นสิวอักเสบในระดับที่รุนแรง
แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบแล้ว ก็ควรจะใช้ยาทารักษาสิวอักเสบ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น ยา Clinda-M หรือ Clindalin Gel เพื่อทำให้สิวหายอักเสบเร็วที่สุด ไม่เป็นนาน และหัวสิวยุบได้เร็ว ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสิวอักเสบยุบแล้ว ก็ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแผลเป็น เช่น Hiruscar หรือ Scargel แต้มที่รอยแผลเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว รวมถึงรอยด่างดำต่าง ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์พวกนี้ก็มีจำหน่ายทั่วไปทั้งตามร้านขายยา และร้านจำหน่ายเครื่องสำอางชั้นนำ
วิธีป้องกันปัญหาหลุมสิว
การใช้สาร TCA (Trichloroacetic acid)
สาร TCA มีคุณสมบัติเป็นกรด มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวในระดับตื้น ๆ เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว รอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ ตื่นขึ้น โดยแพทย์จะตรวจสภาพของหลุมสิวก่อน แล้วเลือกความเข้มข้นของกรดให้เหมาะกับความรุนแรงของหลุมสิว เมื่อแต้มกรด TCA ไปที่หลุมสิวแล้ว ก็จะทิ้งไว้นาน 3-5 นาที แล้วล้างออก กรดจะกัดผิวบริเวณที่แต้ม ส่งผลให้บริเวณนั้นเกิดรอยด่างสีขาว ๆ หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะตกสะเก็ดและหลุดออก การใช้สาร TCA เพื่อลดรอยหลุมสิว ควรเว้นระยะห่าง 1-2 สัปดาห์ และอาจต้องทำต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เกิดอาการแสบบริเวณผิวหน้า และอาจทำอันตรายต่อเนื้อเยื่ออ่อน จึงทำให้การใช้กรด TCA ได้รับความนิยมลดลง
รักษาหลุมสิวด้วยยาทากลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ
กรดวิตามินเอ เช่น retinoic acid หรือ isotretinoin สามารถช่วยลดการเกิดสิว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของรอยหลุมสิว อีกทั้งยั้งกระตุ้นให้ผิวหน้ามีการผลัดเซลล์ผิวเร็วขึ้น เพิ่มการสร้างคอลลาเจน ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีความเรียบเนียน โดยอาจเริ่มใช้ที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวลอก เป็นขุย และระหว่างที่ใช้ยา ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเสมอ เพื่อป้องกันผิวแพ้แดด อักเสบ และผิวไหม้
การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (microdermabrasion หรือ MD)
วิธีรักษาหลุมสิวด้วยการกรดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ถึงแม้ว่าจะใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกระดับความรุนแรง แต่จะมีประสิทธิภาพดีกับหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลางหรือ rolling scar ที่สุด โดยจะใช้ผงอลูมิเนียมออกไซด์ (aluminium oxide) ผงโซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride) หรือผงโซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate) ที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน แต่จะมีข้อเสียคือทำให้ผิวหน้าบางลง จึงต้องเว้นระยะห่างในการทำ โดยแพทย์มักจะนัดทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ และเพื่อให้เห็นผลในการรักษาหลุมสิวอย่างชัดเจน แพทย์อาจต้องนัดมาทำทรีตเมนต์ 6-10 ครั้ง
การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ (lase resurface)
วิธีรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวทุกระดับความรุนแรง แต่อาจมีผลข้างเคียงคือรอยดำที่ผิวหนัง ที่อาจเกิดได้นานอยู่เป็นปี ดังนั้นวิธีรักษาด้วยเลเซอร์จึงควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด โดยวิธีรักษาด้วยเลเซอร์มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ได้แก่
1. Fraxel laser
รักษาหลุมสิวด้วยวิธียิงลำแสงเลเซอร์ที่มีขนาดเล็ก ในช่วงคลื่น mid infrared เข้าไปที่ชั้นผิวนับพันจุดต่อตารางเซนติเมตร ทำให้เซลล์บริเวณเป้าหมายตาย แล้วทำให้เกิดกระบวนการสร้างเซลล์และผลัดเซลล์ผิว รอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ ตื้นขึ้น วิธีนี้อาจทำให้ผิวหนังอักเสบและอาจรู้สึกเจ็บ และหลังทำต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด วิธีนี้เมื่อทำ 10 ครั้งขึ้นไป สามารถคาดผลการรักษาหลุมสิวได้ถึง 70%
2. Fractional CO2 laser
เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการรักษาหลุมสิว โดยได้ผลดีเกือบ 80% แสงเลเซอร์จะกระตุ้นให้ผิวมีการผลัดเปลี่ยนได้เร็วขึ้น ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีนี้กลับพบว่ามีผลข้างเคียงหลังการทำค่อนข้างมาก โดยมักจะเกิดรอยสะเก็ดแผล อีกทั้งยังใช้เวลาในการพักฟื้นผิวหน้า 5-7 วัน จากนั้นสะเก็ดแผลหลุดลอกออก หลังจากการทำ fractional CO2 laser ควรป้องกันผิวหน้าจากความร้อนและแสงแดด มิฉะนั้นจะมีโอกาสเกิดรอยดำได้มาก จะใช้เวลารักษาประมาณ 1-3 เดือน หรือ 3-5 ครั้ง
3. Cool touch laser
เป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ rolling scar หรือหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อย รอยหลุมไม่ลึกเกินไป โดยตัวเลเซอร์จะถูกยิงไปที่ระดับผิวหนังชั้นกลาง และจะเกิดกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยหลุมค่อย ๆ ถูกเติมเต็ม หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ อาจเกิดรอยแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาจจะปรากฏอยู่ 1-2 ชั่วโมงแล้วก็หายไป อาจต้องใช้ cool touch laser 5-7 ครั้งจึงเห็นความเปลี่ยนแปลง และแต่ละครั้งอาจนัดห่างกัน 2-4 สัปดาห์
4. Intense pulsed light หรือ IPL
วิธี IPL เหมาะกับหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อย หลุมไม่ลึก โดยเฉพาะหลุมแบบ rolling scar โดยจะใช้ลำแสงในหลาย ๆ ความยาวคลื่น ยิ่งไปที่บริเวณหลุมสิว ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทำให้รอยหลุมค่อย ๆ ถูกเติมเต็ม เพื่อประสิทธิภาพอาจต้องทำ IPL ต่อเนื่อง 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งอาจห่างกัน 1 เดือน โดยอาการข้างเขียงหลังทำ IPL ได้แก่ รอยแดง รอยคล้ำ และสะเก็ดแผล
วิธีรักษาหลุมสิวด้วย Derma Roller
Derma Roller เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นลูกกลิ้ง ตรงลูกกลิ้งจะมีเข็มเล็ก ๆ ที่มีความยาวลึกถึงชั้นของหนังแท้ โดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวเข็มจะอยู่ที่ 0.25 มิลลิเมตร เมื่อกลิ้งลูกกลิ้งบนผิวหน้า ตัวเข็มจะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ แต่หลังจากการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้แล้ว อาจทำให้เกิดรอยแดง ๆ ซึ่งอาจปรากฎเห็นชัดอยู่ 1-2 วัน หลังจากนั้นผิวหน้าอาจลอกเป็นขุย และจะหายไปภายใน 4-5 วัน
วิธีรักษาหลุมสิว ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (filler)
การฉีดฟิลเลอร์ (filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มต่าง ๆ ไปที่หลุมสิว เพื่อทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น โดยสารที่ใช้เป็นฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ชนิดที่มีความปลอดภัย และเป็นที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ ได้แก่ คอลลาเจน (collagen) และกรดไฮยาลูโรเนต (hyaluronate) ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้อยู่แล้วในร่างกาย และไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามข้อเสียของฟิลเลอร์ทั้ง 2 ชนิด ที่เป็นสารตามธรรมชาติ ก็คือการสลายตามธรรมชาติ ทำให้ต้องมีการฉีดเติมสารฟิลเลอร์เข้าไปใหม่ โดยทั่ว ๆ ไปความคงทนของทั้งคอลลาเจนและไฮยาลูโรเนตจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี เท่านั้น
รักษาหลุมสิวด้วยการเลาะพังผืด (subcision)
เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีมานานแล้ว แพทย์จะใช้เข็มที่มีลักษณะพิเศษ สอดเข้าไปตัดพังผืดที่ใต้ผิวหนัง โดยจะค่อย ๆ เลาะพังพืดใต้หลุมสิวออก หลังจากเลาะพังผืดแล้ว บริเวณผิวหนังที่สอดเข็มเข้าไปก็จะมีรอยเลือดออก และบางครั้งอาจมีรอยม่วงฟกช้ำ ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 7-14 วัน จากนั้นหลุมสิวก็จะแลดูตื้นขึ้น วิธีรักษานี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีผลข้างเคียงเยอะ ต้องเจ็บตัว อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่บริเวณแผล
การรักษาหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrenquency technique หรือ RF)
RF เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว โดยใช้พลังงานจากคลื่นวิทยุ ผ่านเข้าไปที่ชั้นของหนังแท้ ส่งผลทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นถูกกระตุ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนมาเติมเต็มหลุมสิว เครื่องที่ใช้หลักการ RF ที่เรารู้จักกันดี ยกตัวอย่างเช่น เครื่อง E-Matrix ในระหว่างการทำ RF อาจทำให้รู้สึกเจ็บที่ผิวได้ แพทย์อาจใช้ยาชาทาที่ผิวเพื่อลดความเจ็บปวด และอาจต้องทำ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล
รักษาหลุมสิว ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง (punch excision and grafting)
การทำศัลยกรรมเหมาะสำหรับคนที่รักษาหลุมสิวด้วยวิธีข้างต้นแล้วยังไม่หาย หรือมีหลุมสิวที่มีลักษณะลึกและกว้าง การศัลยกรรมหลุมสิว โดยค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดแก้ไขปัญหาหลุมสิว จะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อจุด และหลังจากผ่าตัด ก็อาจเกิดรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เอง
บทความเรื่องสิว