8 วิธีรักษารอยหลุมสิวแบบธรรมชาติอย่างได้ผล หลุมสิวคืออะไร สาเหตุของหลุมสิว และวิธีป้องกันหลุมสิว

ปัญหาสิวหัวช้างว่าใหญ่และแก้ยากแล้ว ปัญหารอยสิว จุดด่างดำ และหลุมสิวต่างหากที่แก้ไขได้ยากยิ่งกว่า หลายคนคงเคยประสบกับปัญหาหลุมสิวที่แก้อย่างไร ก็แก้ไม่ได้เสียที เสียเงินเสียทองไปก็มาก แต่ปัญหาก็ยังค้างคาอยู่ แต่ถ้าลองได้อ่านบทความนี้ ที่จะเผยรายละเอียดของปัญหาหลุมสิว ตั้งแต่สาเหตุ ความรุนแรง การป้องกัน และการแก้ไข รับรองว่าคุณจะมองเห็นทางออกของปัญหาหลุมสิว และเห็นวิธีรักษาหลุมสิวแน่นอน : วิธีรักษาสิวอุดตัน

รักษาหลุมสิว

หลุมสิว คืออะไร

ปัญหาหลุมสิว (pitted acne scars) เป็นหนึ่งในปัญหาบนผิวหน้าที่มีความรุนแรง เป็นปัญหารอยแผลเป็นที่ลึกถึงระดับชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดความไม่เรียบเนียนบนผิวหน้า ส่งผลให้แต่งหน้าได้ไม่เรียบเนียน ทาแป้งหรือรองพื้นไม่ติดผิว รวมถึงส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในตนเอง ที่เป็นปัญหาที่ลึกลงในระดับของจิตใจ

หลุมสิวเกิดจากอะไร

หลุมสิวเกิดจากอะไร สำหรับสาเหตุของปัญหาหลุมสิวนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากสิวที่มักจะสร้างรอยแผลเป็นเอาไว้หลังรอยสิวยุบไป และปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสิวที่เป็นสาเหตุนั้นเป็นสิวอักเสบ โดยเฉพาะสิวหัวช้าง ซึ่งสิวอักเสบเกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหน้า แต่หากแบคทีเรียชนิดนี้มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดสิวอักเสบตามมา

สาเหตุของการเกิดหลุมสิว

การอักเสบของหัวสิว อาจกินลึกไปจนถึงชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ในสุด ซึ่งส่งผลทำให้เส้นใยคอลลาเจน (collagen) อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนังถูกทำลาย แต่แล้วเมื่อการอักเสบลดลง สิวหายไป แต่การสร้างคอลลาเจนมาทดแทนกลับน้อยกว่าปกติ มีการสร้างผิวหนังใหม่ได้ช้า หรือบางครั้งผิวหนังก็ถูกสร้างใหม่ได้เร็วเกินไป ทำให้เกิดรอยพังพืด รอยนูน และหลุมสิว ซึ่งจัดว่าเป็นปัญหาแผลเป็นที่รักษาได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง

นอกจากนี้ การบีบและแกะสิวก็เป็นจัดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดหลุมสิว เนื่องจากการบีบสิวจะทำให้เกิดภาวะอักเสบของผิวหนังมากขึ้น ทำให้เกิดรอยฟกช้ำและรอยแผลขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลทำให้รอยสิวและหลุมสิวมีขนาดใหญ่และรุนแรงมากขึ้น

วิธีรักษาหลุมสิว

ชนิดและความรุนแรงของหลุมสิว

ชนิดของหลุมสิว สามารถแบ่งได้ตามความรุนแรง ซึ่งการแบ่งระดับของหลุมสิว จะทำให้แพทย์สามารถวางแผลการรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผล สามารถแยกระดับความรุนแรงได้ดังต่อไปนี้

ระดับรุนแรงที่สุด (ice pick scar)

หลุมสิวลักษณะนี้ จะมีลักษณะเป็นหลุมลึก และมีปากหลุมแคบ โดยมักจะมีความกว้างไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ด้วยความที่เป็นหลุมลึก เนื้อเยื่อใต้ผิวถูกทำลายมาก จึงทำให้การรักษาหลุมสิวให้หายเป็นไปได้ยาก รวมถึงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะฟื้นฟูให้รอยลึกดูตื้นขึ้น

ระดับรุนแรงปานกลาง (box scar)

ลักษณะของหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลาง มักจะมีลักษณะเป็นบ่อ มีขอบเขตชัดเจน มักจะมีความกว้างมากกว่า 1 มิลลิเมตร ไปจนถึงกว้าง 4 มิลลิเมตร โดยที่ความกว้างที่ขอบหลุมและก้นหลุมจะมีขนาดเท่ากัน ส่วนความลึกของหลุม อาจลึกได้ตั้งแต่ 0.1-0.5 มิลลิเมตร ซึ่งยังลึกไม่ถึงชั้นรูขุมขน ทำให้การใช้ยาทาภายนอกร่วมกับการรักษาหลุมสิวด้วยทรีตเมนต์ ก็เพียงพอที่จะทำให้รอยหลุมสิวหายได้ แต่ก็อาจจะทิ้งรอยด่างดำเหลือไว้บ้าง

ระดับรุนแรงน้อย (rolling scar)

ลักษณะหลุมสิวแบบ rolling scar มักจะเป็นหลุมสิวที่มีแอ่งเว้า มีปากหลุมกว้าง อาจกว้างได้มากกว่า 4-5 มิลลิเมตร โดยร่องหลุมจะกินพื้นที่แค่ชั้นผิวตื้น ๆ ไม่ได้กินเนื้อผิวลึกมากกว่าหลุมสิวที่มีความรุนแรงมากกว่า โดยมักจะเกิดขึ้นจากการบีบสิวที่อยู่ในระดับไม่ลึก ทำให้รักษาได้ง่าย ซึ่งยาทาภายนอกที่มีคุณสมบัติในการเติมเต็มเนื้อผิว ก็สามารถรักษาหลุมสิวลักษณะนี้ได้แล้ว

รักษาหลุมสิว

วิธีป้องกันปัญหาหลุมสิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวขึ้นบนใบหน้าที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดสิว ซึ่งอาจฟังดูง่ายแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะปัญหาสิวอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งปัจจัยที่เราควบคุมได้ เช่น ความสะอาดของผิวหน้า การเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ส่วนปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้นั้น ก็มีได้ตั้งแต่เรื่องของฮอร์โมน ไปจนถึงพันธุกรรม

แต่หากเกิดสิวขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูแลอย่างถูกวิธี โดยป้องกันไม่ให้สิวอุดตันต่าง ๆ ทั้งสิวหัวดำ สิวหัวขาว เกิดการอักเสบ กลายเป็นสิวอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหลุมสิว พร้อมกันนี้ เมื่อเป็นสิวแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุด คือ การบีบและการแกะสิว เพราะจะให้ผิวหนังบริเวณนั้นเสียหาย เกิดการติดเชื้อ ทำให้ชั้นผิวหนังถูกทำลายลึกขึ้น รวมถึงติดเชื้อแบคทีเรีย กลายเป็นสิวอักเสบในระดับที่รุนแรง

แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบแล้ว ก็ควรจะใช้ยาทารักษาสิวอักเสบ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น ยา Clinda-M หรือ Clindalin Gel เพื่อทำให้สิวหายอักเสบเร็วที่สุด ไม่เป็นนาน และหัวสิวยุบได้เร็ว ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสิวอักเสบยุบแล้ว ก็ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแผลเป็น เช่น Hiruscar หรือ Scargel แต้มที่รอยแผลเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว รวมถึงรอยด่างดำต่าง ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์พวกนี้ก็มีจำหน่ายทั่วไปทั้งตามร้านขายยา และร้านจำหน่ายเครื่องสำอางชั้นนำ

ลดหลุมสิว

วิธีป้องกันปัญหาหลุมสิว

การใช้สาร TCA (Trichloroacetic acid)

สาร TCA มีคุณสมบัติเป็นกรด มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวในระดับตื้น ๆ เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว รอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ ตื่นขึ้น โดยแพทย์จะตรวจสภาพของหลุมสิวก่อน แล้วเลือกความเข้มข้นของกรดให้เหมาะกับความรุนแรงของหลุมสิว เมื่อแต้มกรด TCA ไปที่หลุมสิวแล้ว ก็จะทิ้งไว้นาน 3-5 นาที แล้วล้างออก กรดจะกัดผิวบริเวณที่แต้ม ส่งผลให้บริเวณนั้นเกิดรอยด่างสีขาว ๆ หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะตกสะเก็ดและหลุดออก การใช้สาร TCA เพื่อลดรอยหลุมสิว ควรเว้นระยะห่าง 1-2 สัปดาห์ และอาจต้องทำต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เกิดอาการแสบบริเวณผิวหน้า และอาจทำอันตรายต่อเนื้อเยื่ออ่อน จึงทำให้การใช้กรด TCA ได้รับความนิยมลดลง

รักษาหลุมสิวด้วยยาทากลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ

กรดวิตามินเอ เช่น retinoic acid หรือ isotretinoin สามารถช่วยลดการเกิดสิว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของรอยหลุมสิว อีกทั้งยั้งกระตุ้นให้ผิวหน้ามีการผลัดเซลล์ผิวเร็วขึ้น เพิ่มการสร้างคอลลาเจน ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีความเรียบเนียน โดยอาจเริ่มใช้ที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวลอก เป็นขุย และระหว่างที่ใช้ยา ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเสมอ เพื่อป้องกันผิวแพ้แดด อักเสบ และผิวไหม้

การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (microdermabrasion หรือ MD)

วิธีรักษาหลุมสิวด้วยการกรดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ถึงแม้ว่าจะใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกระดับความรุนแรง แต่จะมีประสิทธิภาพดีกับหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลางหรือ rolling scar ที่สุด โดยจะใช้ผงอลูมิเนียมออกไซด์ (aluminium oxide) ผงโซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride) หรือผงโซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate) ที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน แต่จะมีข้อเสียคือทำให้ผิวหน้าบางลง จึงต้องเว้นระยะห่างในการทำ โดยแพทย์มักจะนัดทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ และเพื่อให้เห็นผลในการรักษาหลุมสิวอย่างชัดเจน แพทย์อาจต้องนัดมาทำทรีตเมนต์ 6-10 ครั้ง

แก้หลุมสิว

การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ (lase resurface)

วิธีรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวทุกระดับความรุนแรง แต่อาจมีผลข้างเคียงคือรอยดำที่ผิวหนัง ที่อาจเกิดได้นานอยู่เป็นปี ดังนั้นวิธีรักษาด้วยเลเซอร์จึงควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด โดยวิธีรักษาด้วยเลเซอร์มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ได้แก่

1. Fraxel laser

รักษาหลุมสิวด้วยวิธียิงลำแสงเลเซอร์ที่มีขนาดเล็ก ในช่วงคลื่น mid infrared เข้าไปที่ชั้นผิวนับพันจุดต่อตารางเซนติเมตร ทำให้เซลล์บริเวณเป้าหมายตาย แล้วทำให้เกิดกระบวนการสร้างเซลล์และผลัดเซลล์ผิว รอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ ตื้นขึ้น วิธีนี้อาจทำให้ผิวหนังอักเสบและอาจรู้สึกเจ็บ และหลังทำต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด วิธีนี้เมื่อทำ 10 ครั้งขึ้นไป สามารถคาดผลการรักษาหลุมสิวได้ถึง 70%

2. Fractional CO2 laser

เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการรักษาหลุมสิว โดยได้ผลดีเกือบ 80% แสงเลเซอร์จะกระตุ้นให้ผิวมีการผลัดเปลี่ยนได้เร็วขึ้น ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีนี้กลับพบว่ามีผลข้างเคียงหลังการทำค่อนข้างมาก โดยมักจะเกิดรอยสะเก็ดแผล อีกทั้งยังใช้เวลาในการพักฟื้นผิวหน้า 5-7 วัน จากนั้นสะเก็ดแผลหลุดลอกออก หลังจากการทำ fractional CO2 laser ควรป้องกันผิวหน้าจากความร้อนและแสงแดด มิฉะนั้นจะมีโอกาสเกิดรอยดำได้มาก จะใช้เวลารักษาประมาณ 1-3 เดือน หรือ 3-5 ครั้ง

วิธีรักษาหลุมสิว

3. Cool touch laser

เป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวแบบ rolling scar หรือหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อย รอยหลุมไม่ลึกเกินไป โดยตัวเลเซอร์จะถูกยิงไปที่ระดับผิวหนังชั้นกลาง และจะเกิดกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยหลุมค่อย ๆ ถูกเติมเต็ม หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ อาจเกิดรอยแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาจจะปรากฏอยู่ 1-2 ชั่วโมงแล้วก็หายไป อาจต้องใช้ cool touch laser 5-7 ครั้งจึงเห็นความเปลี่ยนแปลง และแต่ละครั้งอาจนัดห่างกัน 2-4 สัปดาห์

4. Intense pulsed light หรือ IPL

วิธี IPL เหมาะกับหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อย หลุมไม่ลึก โดยเฉพาะหลุมแบบ rolling scar โดยจะใช้ลำแสงในหลาย ๆ ความยาวคลื่น ยิ่งไปที่บริเวณหลุมสิว ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทำให้รอยหลุมค่อย ๆ ถูกเติมเต็ม เพื่อประสิทธิภาพอาจต้องทำ IPL ต่อเนื่อง 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งอาจห่างกัน 1 เดือน โดยอาการข้างเขียงหลังทำ IPL ได้แก่ รอยแดง รอยคล้ำ และสะเก็ดแผล

รักษาหลุมสิว

วิธีรักษาหลุมสิวด้วย Derma Roller

Derma Roller เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นลูกกลิ้ง ตรงลูกกลิ้งจะมีเข็มเล็ก ๆ ที่มีความยาวลึกถึงชั้นของหนังแท้ โดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวเข็มจะอยู่ที่ 0.25 มิลลิเมตร เมื่อกลิ้งลูกกลิ้งบนผิวหน้า ตัวเข็มจะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ แต่หลังจากการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้แล้ว อาจทำให้เกิดรอยแดง ๆ ซึ่งอาจปรากฎเห็นชัดอยู่ 1-2 วัน หลังจากนั้นผิวหน้าอาจลอกเป็นขุย และจะหายไปภายใน 4-5 วัน

วิธีรักษาหลุมสิว ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (filler)

การฉีดฟิลเลอร์ (filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มต่าง ๆ ไปที่หลุมสิว เพื่อทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น โดยสารที่ใช้เป็นฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ชนิดที่มีความปลอดภัย และเป็นที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ ได้แก่ คอลลาเจน (collagen) และกรดไฮยาลูโรเนต (hyaluronate) ซึ่งเป็นสารที่สามารถพบได้อยู่แล้วในร่างกาย และไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามข้อเสียของฟิลเลอร์ทั้ง 2 ชนิด ที่เป็นสารตามธรรมชาติ ก็คือการสลายตามธรรมชาติ ทำให้ต้องมีการฉีดเติมสารฟิลเลอร์เข้าไปใหม่ โดยทั่ว ๆ ไปความคงทนของทั้งคอลลาเจนและไฮยาลูโรเนตจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี เท่านั้น

วิธีรักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิวด้วยการเลาะพังผืด (subcision)

เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีมานานแล้ว แพทย์จะใช้เข็มที่มีลักษณะพิเศษ สอดเข้าไปตัดพังผืดที่ใต้ผิวหนัง โดยจะค่อย ๆ เลาะพังพืดใต้หลุมสิวออก หลังจากเลาะพังผืดแล้ว บริเวณผิวหนังที่สอดเข็มเข้าไปก็จะมีรอยเลือดออก และบางครั้งอาจมีรอยม่วงฟกช้ำ ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 7-14 วัน จากนั้นหลุมสิวก็จะแลดูตื้นขึ้น วิธีรักษานี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีผลข้างเคียงเยอะ ต้องเจ็บตัว อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่บริเวณแผล

การรักษาหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrenquency technique หรือ RF)

RF เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว โดยใช้พลังงานจากคลื่นวิทยุ ผ่านเข้าไปที่ชั้นของหนังแท้ ส่งผลทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นถูกกระตุ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนมาเติมเต็มหลุมสิว เครื่องที่ใช้หลักการ RF ที่เรารู้จักกันดี ยกตัวอย่างเช่น เครื่อง E-Matrix ในระหว่างการทำ RF อาจทำให้รู้สึกเจ็บที่ผิวได้ แพทย์อาจใช้ยาชาทาที่ผิวเพื่อลดความเจ็บปวด และอาจต้องทำ 3-4 ครั้ง จึงจะเห็นผล

วิธีรักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิว ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง (punch excision and grafting)

การทำศัลยกรรมเหมาะสำหรับคนที่รักษาหลุมสิวด้วยวิธีข้างต้นแล้วยังไม่หาย หรือมีหลุมสิวที่มีลักษณะลึกและกว้าง การศัลยกรรมหลุมสิว โดยค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดแก้ไขปัญหาหลุมสิว จะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อจุด และหลังจากผ่าตัด ก็อาจเกิดรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปได้เอง

บทความเรื่องสิว